ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "อุบัติเหตุบนท้องถนน" นั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่า เมื่อไหร่กันแน่ที่มันจะเกิดขึ้นกับตัวเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน เช่น อุบัติเหตุรถชน หรือ รถเสียหลักจนพุ่งตกลงไปในน้ำ


และในวันนี้เราก็ไม่พลาดที่จะนำข้อมูลดีๆ ถึงวิธีการเอาตัวรอดจากรถจมน้ำ มาฝากกัน จะได้สามารถช่วยชีวิตตนเองและผู้คนรอบข้างคุณได้อย่างทันท่วงที

อันดับแรกเลย คือต้องตั้งสติให้มั่นและพึงระลุกเสมอว่า "เรายังมีเวลาพอที่จะทำอะไรหรือแก้ไขได้" เนื่องจากในขณะที่รถยนต์ตกน้ำ (รถยนต์ส่วนบุคคลสมัยนี้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ มักปิดกระจกขณะขับขี่) รถจะไม่จมลงในทันทีแต่จะค่อย ๆ จมลงอย่างช้า ๆ อย่างต่อเนื่องประมาณ 17 - 20 วินาทีและปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้


1. ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคน รวมทั้งผู้โดยสารด้วย

2. อย่าออกแรงใดๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด

3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในรถ

4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน

5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดันในรถและนอกรถให้เท่ากัน มิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออก เพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้

6. เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุด แล้วท่านก็ออกจากห้องโดยสารของรถได้

7. จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเป็นรถที่ใช้ระบบไฟฟ้า การทำงานจะขัดข้องจนไม่สามารถเปิดกระจกได้ ให้ใช้ค้อนเหล็ก หรือของแข็งที่มีอยู่ในรถทุบกระจกด้านข้างให้แตก ไม่ควรทุบกระจกหน้าหรือหลัง เพราะเป็นกระจกนิรภัยจะแตกยากกว่า

แต่ถ้าหากน้ำลึกมากๆ อาจจะมองไม่เห็นว่าทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมด ไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำ เพราะอาจจะว่ายไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ กรณีเช่นนี้ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติ หรือลองเป่าปากดูว่าฟองอากาศลอยไปในทิศทางใด ให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป ก็จะไม่มีอาการหลงน้ำ

นอกจากนี้ ก่อนออกจากรถหากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบเด็กๆ นั้นออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน ดังนั้นหากท่านปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ชีวิตของท่านในยามวิกฤติได้อย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ อุบัติเหตุย่อมเกิดได้ตลอดเวลา แม้เราไม่ประมาทคนอื่นก็ประมาท ดังนั้นการเตรียมพร้อมรับมือไว้ก่อนย่อมดีกว่าที่เราไม่เตรียมการอะไรไว้เลย

CR:https://www.siamnews.com/view-7022.html