จากกรณีมีนักฟุตบอล และผู้ฝึกสอนหายเข้าไปเที่ยวในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ในวนอุทยานขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ต่อมานายดำรงค์ หาญภักดีนิยม หัวหน้าวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน สำนักงานพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 รับแจ้งว่ามีผู้ที่พากันเดินทางเข้าไปเที่ยวในถ้ำหลายคนแล้วไม่กลับออกมาอีกเลย โดยพบรถจักรยานรองเท้าบริเวณทางเข้าถ้ำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ระดมกำลังหาทั้งวัน ทั้งคืนอย่างเต็มที่นั้น

ล่าสุด วันนี้ (27 มิ.ย. 2561) ขณะเจ้าหน้าที่ทีมช่วยเหลือทุกหน่วย ซึ่งมีหน่วยซีลเป็นทัพหน้าเพื่อค้นหากลุ่มเด็กและโค้ชยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ แต่ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรครอบด้าน เนื่องจาก ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นภายในถ้ำจากฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม แต่ก็ยังมีน้ำที่ไหลเข้ามาตลอดเวลา

ขณะนี้มีเครื่องสูบน้ำเพียง 7 เครื่องที่สามารถติดตั้งแล้วเสร็จและใช้สูบน้ำออก ทั้งที่มีเครื่องสูบน้ำสำรองอยู่กว่า 30 เครื่อง แต่ยังไม่สามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องไฟฟ้า และปัญหาด้านสภาพแวดล้อมภายในถ้ำ ซึ่งส่วนของระบบไฟฟ้าต้องมีการติดตั้งแบบพิเศษแบบสามารถกันน้ำได้ และก่อนจ่ายไฟเข้าระบบทุกจุดต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน ขณะนี้ได้มีการเดินระบบไฟเข้าภายในถ้ำแล้วกว่า 2 กิโลเมตร และยังจะทำการติดตั้งระบบไฟฟ้าเพิ่มเติมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ทีมช่วยเหลือกลับต้องเจออุสรรคใหญ่อีกครั้ง เนื่องจากปริมาณน้ำในถ้ำหลวงสูงขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่หยุด ส่งผลให้ทุกห้องโถงและแอ่งน้ำเริ่มมีหยอดน้ำไหลมากขึ้นเกือบทุกจุด พื้นถ้ำอิ่มน้ำเกือบทุกจุด เจ้าหน้าที่ไฟฟ้า และ เจ้าหน้าที่รับผิดชอบเรื่องสูบน้ำ ต้องเร่งทำงานกันเต็มที่โดยการระดมสูบน้ำเพื่อลดระดับน้ำในถ้ำ ให้หน่วยซีลทำงานได้ พร้อมทั้งมีการส่งเครื่องสูบน้ำไฟฟ้าขนาดใหญ่แรงดันสูงจากกรุงเทพฯไปช่วย เนื่องจากการใช้เครื่องสูบน้ำที่ใช้น้ำมันก็เป็นปัญหาอีก 1 จุด เพราะจะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ส่งผลให้ก๊าซออกซิเจนลดลง ราวกับสถานการณ์ถูกบีบบังคับรอบด้าน

แต่ล่าสุด อีกหนึ่งความหวังก็เดินทางมาถึง เมื่อกรมชลประทาน ได้สนับสนุนเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ ที่มีประสิทธิภาพสูบน้ำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เมื่อระดับน้ำลดลง ก็จะเพิ่มโอกาสให้เจ้าหน้าที่หน่วยซีล ได้เข้าถึงตัวเด็กได้มากขึ้น





CR:https://www.siamvariety.com/view-30665.html